คงจะไม่มีแม่บ้านคนไหนไม่รู้จักกระเทียม เพราะกระเทียมเป็นส่วนประกอบของอาหารเกือบทุกชนิดตั้งแต่ ต้ม ผัด แกง ทอด และน้ำจิ้มต่าง ๆ ถือเป็นสมุนไพรไร้เทียมทานจริง ๆ เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหารนานาชนิดแล้ว ยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย จากผลวิจัยที่วิเคราะห์สารอาหารของกระเทียมพบว่ากระเทียมมีสาร อัลลีซิน (Allicin) และสคอร์ดินิน (Scordinin) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดการรวมตัวของเกร็ดเลือด สามารถละลายลิ่มเลือดที่อุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองและหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิตและลดสารโคเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด มีสารเจอร์เมเนียม (Germanium) ที่ช่วยยับยั้งการลุกลามของเซลล์มะเร็ง นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคอื่น ๆ อีก เช่น
· ระงับอาการไอ ขับเสมหะ และช่วยให้ผู้ป่วยหอบหืดหายใจคล่องขึ้น
· รักษาวัณโรค ไข้หวัดใหญ่ หลอดลมอักเสบ เสียงแหบ
· ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต
· บรรเทาความเจ็บปวดจากสัตว์พิษกัดต่อย
· ลดไข้ สกัดฝี
· เสริมความแข็งแรงแก่ร่างกาย เป็นต้น
วิธีใช้
· ใช้กระเทียม 1-2 กลีบ โขลกให้ละเอียด เติมน้ำส้มสายชู 2+3 ช้อนโต๊ะ คั้นเอาแต่น้ำ รับประทานแก้ไอ ขับเสมหะ
· ใช้กระเทียม 3-4 กลีบ ตำให้ละเอียด ทาบริเวณเป็นกลากเลื้อน วันละ 2-3 ครั้ง จนกว่าจะหาย
· ใช้กระเทียมบดละเอียด นำไปโปะบริเวณที่ถูกแมลงป่องหรือสัตว์มีพิษกัดต่อย จะช่วยระงับอาการเจ็บปวดได้ ก่อนที่จะรับการรักษาจากแพทย์ต่อไป
· ถ้าต้องการกินกระเทียมเพื่อลดไขมันในเส้นเลือด ลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลในเลือดหรือรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจและสมองตีบตัน ให้กินกระเทียมสดครั้งละ 5 กรัม โดยละเอียดจะได้ 1 ช้อนชาพูนกินพร้อมอาหารหรือหลังอาหารวันละ 3 เวลา (รวมวันละ 15 กรัม)
· ใช้กระเทียมกลีบใหญ่ ๆ 3 กลีบ ทุบให้แตก กลืนกับน้ำอุ่น 1 แก้ว ทุก ๆ เช้าหลังตื่นนอนจะช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกาย ในสภาพที่ต้องเผชิญสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลภาวะ ช่วยป้องกันมะเร็ง เบาหวาน และขจัดสารพิษตะกั่ว
ข้อแนะนำในการกินกระเทียมให้ได้ประโยชน์เต็มที่และมีผลในทางรักษา
· เลือกกระเทียมดิบ สดและใหม่ เพราะจะมีสามที่เป็นยาสมบูรณ์ที่สุด
· ไม่ควรกินโดยเคี้ยวสด ๆ เพราะกระเทียมมีรสชาติเผ็ดร้อน จะทำให้ร้อนปากและคอจนทนไม่ไหว
· ไม่ควรกลืนทั้งกลีบเพราะจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะสารอัลลิซินจะออกฤทธ์ก็ต่อเมื่อเนื้อกระเทียมถูกทำลายโดยการสับหรือบดละเอียด
· ไม่ควรกินกระเทียมสดขณะท้องว่างเพราะจะระคายเคืองกระเพาะอาหารและลำไส้