ปลาปักเป้าเป็นปลาต้องห้ามตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 264 ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายซึ่งปลาปักเป้า
ที่ผ่านมามีคนไทยได้รับพิษตากปลาปักเป้าทั้งชนิดน้ำจืดและน้ำเค็ม ซึ่งมีรายงานทางการแพทย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2472 จนถึง พ.ศ.2550 มีผู้ป่วยทั้งสิ้น 115ราย เสียชีวิต 15 ราย
จังหวัดที่มีผู้ได้รับพิษจากปลาปักเป้ามากที่สุด คือ ชลบุรี 46 ราย เสียชีวิต 4 ราย รองลงมาได้แก่ กรุงเทพ 35 ราย สตูล 1 ราย ขอนแก่น 9 ราย สมุทรปราการ 7 ราย สมุทรสงคราม 4 ราย ชัยภูมิ 2 ราย เชียงใหม่ 2 ราย
อาการพิษที่เกิดขึ้นหลังกินปลาปักเป้า ประมาณ 10 – 45 นาที บางรายอาจนานถึง 4 ชั่วโมง ขึ้นกับปริมาณพิษที่ได้รับเข้าไป อาการพิษที่พบมี 4 ขั้น คือ
ขั้นที่ 1 ชาที่ริมฝีปาก ลิ้น ปลายมือนิ้ว คลื่นไส้ วิงเวียน อาเจียน กระสับกระส่าย
ขั้นที่ 2 ชามากขึ้น อาเจียนมาก อ่อนเพลีย แขนขาไม่มีแรง ยืนและเดินไม่ได้
ขั้นที่ 3 เคลื่อนไหวแขนขาไม่ได้ พูดลำบาก จนถึงพูดไม่ได้ เนื่องจากสายกล่องเสียงเป็นอัมพาต ผู้ป่วยยังรู้สึกตัว
ขั้นที่ 4 กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตทั่วไป หายใจลำบาก เขียวคล้ำ หมดสติ รูม่านตาโตเต็มที่ไม่มีปฏิกิริยาต่อแสง
ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องผู้ป่วยจะหยุดหายใจหรือหัวใจล้มเหลวเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว
เนื่องจากการรักษายังไม่มียาแก้พิษโดยเฉพาะ จึงรักษาแบบประคับประคองด้วยการให้น้ำเกลือ เพื่อขับพิษออกจากปัสสาวะให้เร็วขึ้น และให้สติรอยด์ลดอาการบวมของสมอง
ปัจจุบันเนื้อปลาปักเป้าได้กระจายไปทั่วประเทศ และเป็นส่วนผสมหลายอย่าง เมื่อนำไปประกอบอาหารด้วยความร้อนสูงก็ยังไม่สามารุทำลายพิษปละปักเป้าให้พ้นอันตรายได้
อาหารที่อาจมีเนื้อปลาปักเป้าผสมอยู่คือ ลูกชิ้นปลา ทอดมันปลา ห่อหมด
แหล่งที่อาจเจอปลาปักเป้า คือ ร้านข้าวต้มปลา จิ้มจุ่ม หมูกระทะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อปลาที่แอบอ้างว่าเป็นปลาเซลมอนที่ได้จากการนำเนื้อปลาปักเป้าไปย้อมสี
สังเกตได้อย่างไรว่าเป็นปลาปักเป้า
เนื้อปลาปักเป้าเมื่อแลแล้วจะมีลักษณะเป็นชิ้นหนา สีขาวอมชมพู มัดกล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่มองเป็นได้ชัดเจน ด้านล่างลำตัวเมื่อลอกหนังออกจะมีพังผืดติดอยู่